CHELATION - ล้างสารพิษ
ในหลอดเลือด

Key benefits:

chelation กำจัดสารพิษและโลหะหนักในหลอดเลือด

ปรึกษา
แพทย์ฟรี

ระยะเวลา(นาที):
30 - 45

ระยะพักฟื้น:
ไม่ต้องพักฟื้น

Chelation

กำจัดสารพิษและโลหะหนักในหลอดเลือด

คีเลชั่น

Chelation

คืออะไร?

Chelation Therapy
คือกระบวนการบำบัดที่ใช้เพื่อล้างสารพิษในหลอดเลือดหรือ
สารโลหะหนักที่ค้างติดในร่างกาย
โดยการให้สาร EDTA ผ่านทางหลอดเลือดดำหรือการ
ฉีดวิตามิน

หรือวิตามินที่เรียกว่า EDTA Chelation พร้อมกับ
แร่ธาตุอื่น ๆ
ที่มีประโยชน์ สาร EDTA มีบทบาทสำคัญในการจับสารพิษอย่างสารปรอท
สารตะกั่ว สารสารหนู หรือแม้แต่แคลเซียมเกินในร่างกาย

เมื่อสารโลหะหนักถูกจับเชื่อมกับ EDTA จะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางระบบปัสสาวะ
กระบวนการนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย
เป็นวิธีการเสริมสร้างสุขภาพที่ปลอดภัยโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย
หลักการทำงานของ Chelation Therapy เกี่ยวข้องกับการที่ EDTA
จับโลหะหนักในเลือดและขับออกจากร่างกายผ่านทางระบบขับถ่าย
ซึ่งทำให้หลอดเลือดที่มี
สารพิษตกค้างกลับมาสะอาดและทำงานได้ดีขึ้น
นำมาซึ่งสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

Chelation

ขจัดสารพิษลดความเสี่ยง

ในยุคที่มลภาวะมีมากขึ้นทุกวัน
ทำให้เกิดการสะสมสารพิษในร่างกายจากสิ่งแวดล้อม
โดยไม่ทราบ

เมื่อสารพิษสะสมมากขึ้นจะทำให้ร่างกายผลิตสารอนุมูลอิสระที่เสี่ยงต่อระบบสุขภาพ
เป็นปัญหาที่
ร้ายแรง สารพิษที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพนั้นมีหลายประเภท

คีเลชั่นบำบัดเป็นวิธีที่ช่วยขจัด
สารพิษเหล่านี้ออกจากร่างกาย
และลดความเสี่ยงของโรคร้าย
ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
การปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติการการดูแลสุขภาพและการเลือกใช้วิธีการคีเลชั่นบำบัด

เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลด
ความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งสารพิษที่เป็นสาเหตุปัญหาสุขภาพนั้นมีหลายประเภท เช่น
1. สารพิษจากสารเคมี เช่น สี กลิ่น และรสปรุงแต่งอาหาร ผงชูรส เครื่องสำอาง เช่น
แชมพู
ยาย้อมผม ลิปสติก และยาทาเล็บ รวมถึงยา
แผนปัจจุบัน
สารพิษเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปาก ศีรษะ และผิวหนัง
ผ่านทาง
หลอดเลือดฝอยและสะสมในตับได้
2. สารพิษจากโลหะหนัก เช่น ควันรถ ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ยาฆ่าแมลง

และสารตะกั่ว โลหะหนัก
การสะสมของสารพิษประเภทนี้
เป็นจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อระบบสมองได้
3. สารพิษจากฟอร์มาลีน เช่น อาหารทะเลแช่แข็ง ผักและผลไม้ที่สดกรอบมากเกินไป

ภาชนะบรรจุอาหารหรือเครื่องดื่ม และถุงใส่อาหารร้อน
สารพิษเหล่านี้เป็นต้น

Chelation

ล้างพิษหลอดเลือด

  • ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษและโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
    และช่วยในการ

    ขับถ่ายออกจากร่างกาย
  • ช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาดและทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้นทั้งกายและจิตใจ
  • ช่วยลดปริมาณของสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • ช่วยในการรักษาอาการอักเสบของ
    ผนังหลอดเลือด
  • ช่วยให้หลอดเลือดยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการอุดตันหรือตีบแคบ
  • ช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคหลอดเลือด
    อุดตันหรือตีบแคบ
  • ช่วยให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งและสุขภาพดี
    เนื่องจากการลดปริมาณของสาร
    อนุมูลอิสระ

    ที่เป็นสาเหตุของความเสียหายต่อผิวพรรณ

Chelation

ช่วยฟื้นฟูกระบวนการทางร่างกาย

เมื่อร่างกายสะสมโลหะหนักเป็นระยะเวลานาน

ระบบการทำงานของร่างกายและอวัยวะภายในอาจเสื่อมสภาพลง
สำหรับตัวอย่างเช่น
การติดรับประทานอาหารที่มีรสหวานจัดและ

ปริมาณมาก
ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานหนักของตับไปด้วย 
คีเลชั่น สามารถช่วยในกระบวนการนี้ได้โดยช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ

ให้ไม่ทำงานหนักเกินไป ช่วยให้น้ำตาลกลับมาใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคอัลไซเมอร์ มะเร็ง
โรคตับ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน

และโรคธาลัสซีเมีย อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ Chelation Therapy
เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัย
ในการใช้วิธีการนี้สำหรับสุขภาพของแต่ละบุคคล

Chelation

ดีต่อร่างกายอย่างไร?

เมื่อร่างกายสะสมสารพิษจากสิ่งแวดล้อม และสะสมมากขึ้น
จะทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระภายในร่างกายซึ่งส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของร่างกาย
และส่งผลต่อสุขภาพ ปัญหานี้มีหลายประเภท เช่น
สารพิษจากสารเคมีที่พบในอาหารและเครื่องสำอาง
และอาจเข้าสู่ร่างกาย
ผ่านทางปาก ผิวหนัง หรือระบบหลอดเลือดฝอย เช่น สี กลิ่น
และรสของอาหาร
อีกทั้งยังมีการสะสมสารพิษจากโลหะหนัก เช่น
ควันรถ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม

และสารตะกั่ว
ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพอย่างรุนแรงได้ เช่น อาการทางสมอง
สารพิษจากฟอร์มาลีน
อาจพบในอาหารทะเลแช่แข็งและผักผลไม้ที่ไม่สด และอาจเข้าสู่ร่างกายผ่านทางภาชนะบรรจุอาหาร
ดังนั้น Chelation สามารถช่วยฟื้นฟูให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ
เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็ง โดยช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น

ทำไมถึงมีโลหะหนักอยู่ในร่างกาย?

เพราะสารโลหะต่างๆ ที่พบได้ในชีวิตประจำวันมีการปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย

เช่น
น้ำยาเปลี่ยนสีผม ลิปสติก ยาทาเล็บ และยาแผนโบราณ ที่อาจมีการผสมสารโลหะ
นอกจากนี้ยังมีการใช้สารโลหะในเครื่องสำอาง เช่น แชมพู
ยาย้อมผม ลิปสติก และยาทาเล็บ
รวมถึง
การรับประทานเนื้อสัตว์ที่อาจถูกฉีดฮอร์โมนเร่ง เป็นต้น
การใช้ภาชนะบรรจุอาหารหรือ
เครื่องดื่ม ที่อาจมีการปนเปื้อนโลหะในกระบวนการผลิต
และการที่ต้องพบกับฝุ่นควัน
ฝุ่น PM 2.5 และควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม
หรือการสูบบุหรี่ ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการสะสมโลหะหนักที่อันตรายในร่างกาย
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวัง
เนื่องจากการ
ได้รับสารโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
ดังนั้นการควบคุมและป้องกันการสัมผัสกับสารโลหะหนักเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง
ในการเกิด
ปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อสารพิษโลหะหนักสะสมในร่างกาย

  • อาจมีอาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด อ่อนเพลีย
    เหนื่อยง่าย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี
    ความจำเสื่อม
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก รูมาตอยด์
  • ท้องผูกเรื้อรัง ปากเหม็น กลิ่นตัวแรง
  • ปัญหาผิวพรรณ สิว ฝ้า
  • หอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษง่าย
  • ระบบเผาผลาญทำงานน้อยลง ทำให้อ้วนง่าย
  • เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ
    ผายลมบ่อยๆ
  • โรคผิวหนังเรื้อรัง ผื่นคัน เป็นแผล
    เป็นฝีบ่อยๆ

โลหะหนักอันตรายต่อชีวิตอย่างไร?

  • เซลล์เสื่อมหรือตาย และมีการกลายพันธุ์ของเซลล์
  • การเกิดมะเร็งต่าง ๆ
  • เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและพันธุกรรมของเยน
  • การเกิดโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อเช่นโรคหัวใจ
    โรคความดันโลหิตสูง
  • คุณภาพของโลหะหนักสะสม
    อาจส่งผลต่อการเกิดโรคร้ายอย่างช้าๆ
  • เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์
    โรคมะเร็ง โรคตับ
    และโรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และอื่น ๆ
    ที่เกี่ยวข้องกับการหลอดเลือด และระบบภูมิคุ้มกัน

ทำคีเลชั่นควรเริ่มต้นอย่างไร?

เมื่อได้รับการตรวจวิเคราะห์เม็ดเลือดโดยแพทย์
แพทย์จะทำการตรวจสอบความสมบูรณ์ของ
เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด

รวมถึงสิ่งที่มีอยู่ในกระแสเลือด และ
ความบกพร่องของลำไส้เล็ก ระหว่างนี้
การตรวจเลือดยังจะดูค่าการทำงานของไต
เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์

ของการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย
นอกจากนี้ การตรวจปัสสาวะจะเป็นส่วนสำคัญเพื่อตรวจหาปริมาณโลหะหนักในร่างกาย

เช่น สารหนู ปรอท ตะกั่ว แคดเมี่ยม หรือนิคเกิล
และในกรณีที่พบว่ามีความผิดปกติในการทำงานของไต

การคีเลชั่นอาจจำเป็นเพื่อวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักในเนื้อเยื่อ
โดยการตรวจจะให้ค่าออกมาในรูปแบบสองลักษณะ
การตรวจเลือดและปัสสาวะเป็น
กระบวนการสำคัญใน
การตรวจสอบสุขภาพโดยทั่วไป
และหากมีความเสี่ยงต่อการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย
การตรวจเลือดอาจเป็นทางเลือก
ที่ดี เพื่อยืนยันผลการตรวจของแพทย์

และหากตรวจพบการสะสมของโลหะหนัก

ขั้นตอนในการทำคีเลชั่น

เมื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณที่จะทำการฉีดวิตามิน
และเตรียมเจาะเข็มเข้าสู่หลอดเลือดดำ

หลังจากนั้นจึงทำการฉีดวิตามินผ่านถุงน้ำเกลือ
เพื่อให้วิตามินเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ

ระหว่างรอเวลาประมาณ 30-60 นาที
ในระหว่างนี้
ผู้รับบริการสามารถนั่งรออย่างสบายๆ ได้
หลังจากที่วิตามินถูกฉีดเสร็จสิ้น และเข็มถูกถอดออก

ผู้รับบริการสามารถกลับบ้านได้ทันที

การเตรียมตัวระหว่างการทำคีเลชั่นบำบัด

  • ระยะเวลาในการบริการ ต่อครั้ง
    ประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร
  • ระหว่างที่ให้น้ำเกลือสามารถผักผ่อน
    ดูโทรทัศน์
    อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง ได้ตามปกติ หลังจากนั้น
    สามารถประกอบกิจกรรมได้ตามปกติ
ไม่จำเป็นต้องนอนพัก
  • ควรพบแพทย์ตรวจร่างกายเพื่อประเมินปัญหาที่เป็น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    การตรวจประสิทธิภาพการทำงานของไต ก่อนการ
    เข้ารับบริการในครั้งแรก
  • ระหว่างการรักษา ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้
    เพราะระหว่างทำอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามิน
    แร่ธาตุ
    พอเพียงต่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย

ก่อนการทำ คีเลชั่น ควรเตรียมตัวอย่างไร?

  • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพร่างกาย
  • เตรียมร่างกายโดยการหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
6-8 ชั่วโมง
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 วันก่อนทำคีเลชั่น
  • ดื่มน้ำมากเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกาย
  • ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนทำคีเลชั่น

หลังการทำ คีเลชั่น ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
    2-3 วัน

    เนื่องจากจะทำให้ประสิทธิภาพของ EDTA ลดลง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำมาก ๆ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู

คีเลชั่นเหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด
  • ผู้ที่มีปัญหาสารพิษโลหะสะสมและปัญหา
    สารพิษอื่นๆ ในร่างกาย
  • ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอและมีอาการเกี่ยวกับ
    การไหลเวียนโลหิต เช่น เวียนหัวง่าย
  • ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูงเนื่องจากหลอดเลือด
    ไม่ยืดหยุ่น
  • ผู้ที่ได้รับการทำบอลลูนเส้นเลือด ใส่ขดลวด
    หรือทำบายพาสมาแล้ว เนื่องจากอาจเกิดการอุดตันใหม่
    เมื่อได้รับการทำคีเลชั่น จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้
  • ผู้ที่แข็งแรงแต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็ง
    และโรคเส้นเลือดตีบตัน
    รวมถึงการกำจัดสารพิษ
    และโลหะหนักออกจากตัว และต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต

ใครบ้างไม่ควรทำ คีเลชั่น?

  • หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่กำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับ ไต บกพร่อง
  • ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์
  • ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เกี่ยวกับ
    ระบบไหลเวียนโลหิต
    ความดันโลหิตสูง
    โรคหัวใจ
    โรคเบาหวาน โรคตับ และโรคไต
  • ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่แพ้ยา หรือวิตามินบางชนิด
  • ผู้ที่มีไข้สูงเกินไป
  • ผู้ที่มีอาการแพ้ EDTA
  • ผู้ที่มีประวัติการผ่าตัดต่อมไทรอยด์

ประโยชน์ของการทำ

Chelation

  • กำจัดสารพิษตกค้างในร่างกายและ

    ระบบหลอดเลือด
  • ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  • ลดอาการอักเสบของผิวหนัง
  • บรรเทาอาการอัลไซเมอร์
  • ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ
  • ช่วยให้สมองแจ่มใสและมีความจำดีขึ้น
  • ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ
  • ช่วยให้อาการอ่อนเพลียเรื้อรังหายไป
  • ช่วยให้ประสาทการรับรู้ต่างๆ ดีขึ้น
  • บำบัดเส้นเลือดปลายแขน ปลายขา
  • ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง

ข้อควรทราบเมื่อต้องการทำ

Chelation

  • การทำคีเลชั่นในแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ
    2 ชั่วโมง
  • ควรตรวจร่างกายทั้งระบบอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะ
    ของสุขภาพ
    โดยเฉพาะ
    การตรวจประสิทธิภาพการทำงาน
    ของไต
    ก่อนเข้ารับบริการ
  • ระหว่างการรักษาควรพักผ่อนให้เพียงพอ
    ดื่มน้ำให้มากขึ้น
    โดยแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะระหว่างการทำคีเลชั่น

    อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
  • ระหว่างการให้น้ำเกลือสามารถพักผ่อน
    ดูโทรทัศน์
    รับประทานอาหารว่าง อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตามปกติ
  • หลังทำคีเลชั่นสามารถประกอบกิจกรรมได้ตามปกติ
    โดยไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามิน
    แร่ธาตุ
    พอเพียงต่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย

ข้อควรระวังก่อนทำ

Chelation

  • ผู้ที่มีเกณฑ์ต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้ คีเลชั่น
  • หญิงตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีปัญหาการทำงานของตับและไต
  • ผู้ที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเอนไซม์ G-6-PD
  • ผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด

ผลข้างเคียงในการทำ

Chelation

ในช่วงเวลา 24-48 ชั่วโมงหลังการรับบริการ
คีเลชั่นบำบัด
บางคนอาจมีอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากกระบวนการขับของสารเสียออกจากร่างกาย อาการเหล่านี้สามารถบรรเทาได้โดยการ
ดื่มน้ำมากขึ้นอย่างน้อย 2-3 ลิตร เนื่องจากระหว่างการบำบัดอาจทำให้
ระดับน้ำตาลในเลือด
ลดลง และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอ
เพื่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย
ผลข้างเคียงที่อาจพบในการรับบริการคีเลชั่นบำบัด เป็นอาการ
แสบร้อนบริเวณที่ฉีดยา
รวมถึงอาจมีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน ในบางกรณีผู้ที่รับการบำบัดอาจขาดวิตามินและ
แร่ธาตุบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ทองแดง สังกะสี
หรืออาจมีระดับแคลเซียมในเลือดหรือไตต่ำกว่าปกติ

Q&A

คำถามเกี่ยวกับ

Chelation

คีเลชั่นเหมาะกับใครบ้าง?

การทำคีเลชั่นเป็นกระบวนการที่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการยอมรับในวงการการแพทย์ เนื่องจากสามารถล้างสารพิษใน หลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เกิดความเสี่ยงต่อ
ผู้ที่รับการรักษาไป อย่างไรก็ตาม การทำคีเลชั่นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างปลอดภัย รวมถึงการรักษา ความสะอาดและปลอดภัยของขั้นตอนการทำ อุปกรณ์ที่ใช้ใน กระบวนการต้องมีความสะอาดตามมาตรฐาน
และผู้ที่ดำเนินการ หรือแพทย์
จะต้องมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการดำเนินงานที่สูง นอกจากนี้ วิตามินที่ใช้ในกระบวนการนั้น

ต้องมีคุณภาพมาตรฐานและได้รับการรับรองเพื่อให้มั่นใจได้ว่า
การทำคีเลชั่นเป็นไปอย่างปลอดภัย

สารเคมีที่เสี่ยงต่อร่างกายมีอะไรบ้าง?

สารปนเปื้อนที่มาพร้อมกับอาหาร, สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสุกร, สารกันราหรือ
กรดซาลิซิลิค, 
สารบอแรกซ์, สารฟอร์มาลิน
หรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์ และยาฆ่าแมลงหรือ
สารเคมีกำจัดศัตรูพืช

ควรทำคีเลชั่นบ่อยแค่ไหน?

ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ และแต่ละตัวบุคคล
จำนวนครั้งมากน้อยแตกต่างกัน

ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และอาการของคนไข้

สรุปการทำคีเลชั่น

Chelation Therapy เป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อล้างสารพิษหรือโลหะหนักที่ค้างติดในร่างกาย

โดยการใช้สาร EDTA ผ่านทางหลอดเลือดหรือการฉีดวิตามิน
EDTA Chelation พร้อมกับแร่ธาตุอื่น ๆ
สาร EDTA มีบทบาทสำคัญในการจับสารพิษอย่างสารตะกั่วและแคลเซียมเกินในร่างกาย
เมื่อสารโลหะหนักถูกจับเชื่อมกับ EDTA จะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางระบบปัสสาวะ

การทำ Chelation ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย

เป็นวิธีการเสริมสร้างสุขภาพที่ปลอดภัยโดยเฉพาะสำหรับ ผู้ที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย
แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้วิธีการนี้ เพื่อประเมิน
ความเหมาะสมและความปลอดภัย ทั้งนี้
Chelation ช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับให้ไม่ทำงานหนักเกินไป
และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ
เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
และโรคมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น

Chelation

ที่ Classy Clinic ดีอย่างไร?

ที่ Classy Clinic ให้บริการ Chelation Therapy
เพื่อช่วยขจัดสารพิษที่ตกค้างใน
หลอดเลือด เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง

ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ และมะเร็ง
แพทย์มีความเชี่ยวชาญและให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์เพื่อให้มั่นใจได้ว่า
Chelation Therapy ให้บริการนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการล้างสารพิษ

สนใจดูโปรโมชั่น คลิกเลย!

SCHEDULE
A CONSULTATION
SESSION

ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

Give yourself some daily rewards because loving and caring for yourself doesn’t need to wait.

เพราะการให้รางวัลกับตัวเอง ไม่ควรต้องรอ

RELATED STORIES

Review from social media FB/IG

Related article

IG STORY